สูตรนี้บางคนทำแล้วสามารถลดได้ถึง 9 กิโลกรัมใน 7 วันเลยนะคะ ลองเอาไปทำตามดู
แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับภาวะร่างกายของคนเราด้วยนะคะ ถ้าหากน้ำหนักมากๆ เกิน 80 กิโลกรัมขึ้นไป หากทำตามสูตรนี้ได้ เชื่อว่าน่าจะลดได้ 9 กิโลแน่ๆ ค่ะ ใจแข็งพอรึเปล่าคะ
วันที่ 1
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้
วันที่ 2
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้ กับสลัดผักเขียวและผลไม้
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้
วันที่ 3
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และสลัดกับแครอท
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้
วันที่ 4
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม
มื้อเย็น : ผลไม้และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ
วันที่ 5
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ปลาเผาหรือปลาย่างกับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็ก หรือเนื้อย่างไม่ติดมัน กับสลัดผักสดน้ำใส
วันที่ 6
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไก่ย่างไม่ติดหนัง
มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับแครอทต้ม
วันที่ 7
มื้อเช้า : กาแฟหรือชาบีบมะนาว แต่ไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ผลไม้อะไรก็ได้ในปริมาณต้องการ
มื้อเย็น : อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากทาน ไม่จำกัดปริมาณ
ข้อมูลจาก
http://www.ladytip.com/main/content/view/23/75/
ปฏิทินของฉัน
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553
สูตรหน้าใส
ก้าวสู่ปีใหม่ที่เราจะสวยงามยิ่งๆ ขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าอายุจะเพิ่มขึ้นไป 1 ปีก็ตาม เราได้สรรหาสูตรบำรุงผิวหน้า ให้สวยใส ซึ่งทำได้ง่ายๆ และส่วนผสมก็หาได้ในครัวนี่เอง
1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า
ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด แล้วนำแอปเปิ้ลไม่ปลอกเปลือกสัก ครึ่งผล ปั่นให้ละเอียด พอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก
2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส
นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่น พอละเอียดได้ที่ก็คั้นมะนาวเอาแต่น้ำสัก 1 ช้อนชาใส่ลงไป คนให้เข้ากัน แล้วพอกชโลมให้ทั่ว เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออก
3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน
เตรียมโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะ และมะเขือเทศลูกเล็กๆ สัก 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับมะเขือเทศให้ละเอียด แล้วนำพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก
4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ
ผสมโยเกิร์ต 1 ถ้วย กับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน ชโลมให้ทั่วใบหน้า แล้วขัดๆ ถูๆ ให้ทั่ว ขัด 5 นาที ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละครั้งกำลังดี
ข้อมูลจาก
http://www.ladytip.com/main/content/view/999/77/
1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า
ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด แล้วนำแอปเปิ้ลไม่ปลอกเปลือกสัก ครึ่งผล ปั่นให้ละเอียด พอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก
2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส
นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่น พอละเอียดได้ที่ก็คั้นมะนาวเอาแต่น้ำสัก 1 ช้อนชาใส่ลงไป คนให้เข้ากัน แล้วพอกชโลมให้ทั่ว เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออก
3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน
เตรียมโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะ และมะเขือเทศลูกเล็กๆ สัก 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับมะเขือเทศให้ละเอียด แล้วนำพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก
4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ
ผสมโยเกิร์ต 1 ถ้วย กับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน ชโลมให้ทั่วใบหน้า แล้วขัดๆ ถูๆ ให้ทั่ว ขัด 5 นาที ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละครั้งกำลังดี
ข้อมูลจาก
http://www.ladytip.com/main/content/view/999/77/
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
การควบคุมอารมณ์
การควบคุมอารมณ์ คือ การเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ของตนเองอย่างเหมาะสมสร้างสรรค์ และเป็นที่ยอมรับของสังคม นักเรียนอยู่ในช่วงวัยรุ่นที่มีอารมณ์ไม่มั่นคงนัก จึงมักสูญเสียการวบคุมตนเองได้ง่าย
การควบคุมอารมณ์ไม่ใช่เป็นการเก็บกด ไม่แสดงออกทางอารมณ์เลย แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะจัดการกับสถานการณ์อย่างมีเหตุผล แสดงออกในทางที่สังคมยอมรับ และมีผลเสียต่อตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจน้อยที่สุด ฉะนั้นการที่วัยรุ่นแสดงความก้าวร้าว หรือเก็บกดอารมณ์เอาไว้ จึงมิใช่การควบคุมอารมณ์อย่างเหมาะสม เพราะความก้าวร้าวนั้นสังคมไม่ยอมรับ ในขณะเดียวกันการเก็บกดอารมณ์ก็ย่อมเกิดผลเสียด้านจิตใจต่อตัววัยรุ่นเอง
ดังนั้นวัยรุ่นควรเรียนรู้ความเหมาะสมในการแสดงอารมณ์ในแบบที่สังคมยอมรับ
การควบคุมอารมณ์มี 2 ด้าน ได้แก่
1. การควบคุมวิธีการแปลความหมายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราให้เกิดอารมณ์
2. ควบคุมการแสดงออกต่อเหตุการณ์นั้นๆ
การช่วยให้วัยรุ่นควบคุมอารมณ์ มีแนวทางปฏิบัติ 3 ประการ คือ
1. ให้วัยรุ่นยอมรับว่ามีอารมณ์ และกำลังพยายามควบคุมอยู่
2. ใช้สติปัญญาพิจารณาการตอบสนองทางอารมณ์ตามความจริง เช่น ถ้ากำลังอิจฉาก็ให้ยอมรับว่าอิจฉา แม้ว่าจะพยายามปกปิดคนอื่นอยู่ก็ตาม แล้วก็พิจารณาตามความเป็นจริง โดยไม่มีอคติเข้าข้างตนเอง และระบายความไม่พอใจต่างๆ ด้วยการพูดออกมาถึงความรู้สึกที่มีอยู่นั้นกับคนที่เข้าใจ สามารถพูดคุยกันได้ หรืออาจใช้เทคนิคการผ่อนคลายอารมณ์ ก็จะสามารถควบคุมอารมณืไว้ได้มาก
3. พิจารณาที่สาเหตุ หลีกเลี่ยงสาเหตุ และหาแนวทางปรับใจเพื่อเผชิญกับอารมณื
ทางลบ
สรุปได้ว่า อารมณ์ทุกอารมณ์นั้นเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย โดยอารมณ์ในแง่ลบ เช่น อารมณ์โกรธ และอารมณ์เศร้าที่มักทำให้เกิดผลเสียต่อบุคคลมาก ดังนั้นบุคคลจึงควรที่จะสำรวจตัวเอง และยอมรับว่าตนเองกำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์อะไร และฝึกหัดที่จะระบายและควบคุมตัวเองได้อย่างเหมาะสม และเป็นไปในทางสร้างสรรค์ หรือรู้จักที่จะยับยั้งหรือควบคุมอารมณืที่ไม่เหมาะสมให้ได้
ที่มาของข้อมูล
http://www.vcharkarn.com/varticle/41418
การควบคุมอารมณ์ไม่ใช่เป็นการเก็บกด ไม่แสดงออกทางอารมณ์เลย แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะจัดการกับสถานการณ์อย่างมีเหตุผล แสดงออกในทางที่สังคมยอมรับ และมีผลเสียต่อตนเองทั้งทางร่างกายและจิตใจน้อยที่สุด ฉะนั้นการที่วัยรุ่นแสดงความก้าวร้าว หรือเก็บกดอารมณ์เอาไว้ จึงมิใช่การควบคุมอารมณ์อย่างเหมาะสม เพราะความก้าวร้าวนั้นสังคมไม่ยอมรับ ในขณะเดียวกันการเก็บกดอารมณ์ก็ย่อมเกิดผลเสียด้านจิตใจต่อตัววัยรุ่นเอง
ดังนั้นวัยรุ่นควรเรียนรู้ความเหมาะสมในการแสดงอารมณ์ในแบบที่สังคมยอมรับ
การควบคุมอารมณ์มี 2 ด้าน ได้แก่
1. การควบคุมวิธีการแปลความหมายเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราให้เกิดอารมณ์
2. ควบคุมการแสดงออกต่อเหตุการณ์นั้นๆ
การช่วยให้วัยรุ่นควบคุมอารมณ์ มีแนวทางปฏิบัติ 3 ประการ คือ
1. ให้วัยรุ่นยอมรับว่ามีอารมณ์ และกำลังพยายามควบคุมอยู่
2. ใช้สติปัญญาพิจารณาการตอบสนองทางอารมณ์ตามความจริง เช่น ถ้ากำลังอิจฉาก็ให้ยอมรับว่าอิจฉา แม้ว่าจะพยายามปกปิดคนอื่นอยู่ก็ตาม แล้วก็พิจารณาตามความเป็นจริง โดยไม่มีอคติเข้าข้างตนเอง และระบายความไม่พอใจต่างๆ ด้วยการพูดออกมาถึงความรู้สึกที่มีอยู่นั้นกับคนที่เข้าใจ สามารถพูดคุยกันได้ หรืออาจใช้เทคนิคการผ่อนคลายอารมณ์ ก็จะสามารถควบคุมอารมณืไว้ได้มาก
3. พิจารณาที่สาเหตุ หลีกเลี่ยงสาเหตุ และหาแนวทางปรับใจเพื่อเผชิญกับอารมณื
ทางลบ
สรุปได้ว่า อารมณ์ทุกอารมณ์นั้นเกิดขึ้นได้กับบุคคลทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย โดยอารมณ์ในแง่ลบ เช่น อารมณ์โกรธ และอารมณ์เศร้าที่มักทำให้เกิดผลเสียต่อบุคคลมาก ดังนั้นบุคคลจึงควรที่จะสำรวจตัวเอง และยอมรับว่าตนเองกำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์อะไร และฝึกหัดที่จะระบายและควบคุมตัวเองได้อย่างเหมาะสม และเป็นไปในทางสร้างสรรค์ หรือรู้จักที่จะยับยั้งหรือควบคุมอารมณืที่ไม่เหมาะสมให้ได้
ที่มาของข้อมูล
http://www.vcharkarn.com/varticle/41418
ง่ายๆ ที่จะบอกลา..ความเค็ม
การกินของเค็มบ่อยๆ ทำให้ไตต้องทำงานหนัก และอาจมีโรคความดันสูงตามมาเป็นของแถม ควรเลิกติดรสเค็มเสียที
ง่ายๆ ที่จะบอกลา..ความเค็ม
การกินของเค็มบ่อยๆ ทำให้ไตต้องทำงานหนัก และอาจมีโรคความดันสูงตามมาเป็นของแถม ควรเลิกติดรสเค็มเสียที โดยค่อยๆ ปรับตัวไปจนกว่าลิ้นจะคุ้นเคยกับรสชาติที่จืดลง
ใส่น้ำปลาน้อยลง 1 ช้อน เวลาทานก๋วยเตี๋ยวหรือทำกับข้าวกินเอง ให้ลดจำนวนน้ำปลาลงจากเดิม 1 ช้อน ถึงรสชาติจะยังเค็มอยู่แต่ไตของคุณก็จะเริ่มเห็นสวรรค์รำไร
เวลาซื้ออาหารกระป๋อง ต้องอ่านฉลากก่อน และเลือกแต่กระป๋องที่บอกว่ามีปริมาณเกลือต่ำเท่านั้น
พยายามทานอาหารสดอย่างพวก ผัก ผลไม้ เพื่อจะได้ไม่ต้องปรุงรสเพิ่ม
เวลาไปทานอาหารนอกบ้าน แม่ค้าทำมาอย่างไรก็ทานอย่างนั้น ไม่ต้องเติมน้ำปลาเพิ่ม
ลดอาหารเค็มๆ เช่น หมูเค็ม เบคอน ไส้กรอก ผักดอง แฮมเบอเกอร์ เฟรนซ์ฟราย
ไม่ทานอาหารตากแห้ง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม หอยเค็ม กุ้งแห้ง ปลาแห้ง เพราะวิธีทำอาหารพวกนี้
ต้องใช้เกลือเป็นส่วนประกอบหลัก
เลิกทานฟาสต์ฟู้ด อย่างพิซซ่า แฮมเบอเกอร์ เพราะของอร่อยพวกนี้กับเกลือเป็นของคู่กัน
กินมากไตก็ได้รับเกลือมากตามไปด้วย
หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง ของพวกนี้ก็ใส่เกลือไม่น้อยเช่นกัน ถ้าเลี่ยงได้จึงควรเลี่ยง
หรือไม่ก็กินกับข้าวต้มแล้วกินน้ำข้าวต้มมากๆ กินกับแต่น้อย
บะหมี่สำเร็จรูป โจ๊กซอง ซุปซอง นี่คือสุดยอดอาหารจานด่วนที่ใส่เกลือแบบไม่บันยะบันยัง รู้แล้วอยู่ห่างๆ จะดีกว่า
เลิกปรุงรสกับข้าวด้วย ซุปก้อน ผงชูรส เพราะมีเกลือไม่น้อยอีกเหมือนกัน
กะปิ เต้าหู้ยี้ ปลาร้า ไตปลา ไข่เค็ม ผักดอง ผลไม้ดอง แหนม ไส้กรอกอีสาน ยังพอกินได้ แต่ควรกินน้อยๆ และอย่ากินให้บ่อยนัก
ที่มาของข้อมูล http://www.vcharkarn.com/varticle/41429
ง่ายๆ ที่จะบอกลา..ความเค็ม
การกินของเค็มบ่อยๆ ทำให้ไตต้องทำงานหนัก และอาจมีโรคความดันสูงตามมาเป็นของแถม ควรเลิกติดรสเค็มเสียที โดยค่อยๆ ปรับตัวไปจนกว่าลิ้นจะคุ้นเคยกับรสชาติที่จืดลง
ใส่น้ำปลาน้อยลง 1 ช้อน เวลาทานก๋วยเตี๋ยวหรือทำกับข้าวกินเอง ให้ลดจำนวนน้ำปลาลงจากเดิม 1 ช้อน ถึงรสชาติจะยังเค็มอยู่แต่ไตของคุณก็จะเริ่มเห็นสวรรค์รำไร
เวลาซื้ออาหารกระป๋อง ต้องอ่านฉลากก่อน และเลือกแต่กระป๋องที่บอกว่ามีปริมาณเกลือต่ำเท่านั้น
พยายามทานอาหารสดอย่างพวก ผัก ผลไม้ เพื่อจะได้ไม่ต้องปรุงรสเพิ่ม
เวลาไปทานอาหารนอกบ้าน แม่ค้าทำมาอย่างไรก็ทานอย่างนั้น ไม่ต้องเติมน้ำปลาเพิ่ม
ลดอาหารเค็มๆ เช่น หมูเค็ม เบคอน ไส้กรอก ผักดอง แฮมเบอเกอร์ เฟรนซ์ฟราย
ไม่ทานอาหารตากแห้ง เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม หอยเค็ม กุ้งแห้ง ปลาแห้ง เพราะวิธีทำอาหารพวกนี้
ต้องใช้เกลือเป็นส่วนประกอบหลัก
เลิกทานฟาสต์ฟู้ด อย่างพิซซ่า แฮมเบอเกอร์ เพราะของอร่อยพวกนี้กับเกลือเป็นของคู่กัน
กินมากไตก็ได้รับเกลือมากตามไปด้วย
หมูหยอง หมูแผ่น กุนเชียง ของพวกนี้ก็ใส่เกลือไม่น้อยเช่นกัน ถ้าเลี่ยงได้จึงควรเลี่ยง
หรือไม่ก็กินกับข้าวต้มแล้วกินน้ำข้าวต้มมากๆ กินกับแต่น้อย
บะหมี่สำเร็จรูป โจ๊กซอง ซุปซอง นี่คือสุดยอดอาหารจานด่วนที่ใส่เกลือแบบไม่บันยะบันยัง รู้แล้วอยู่ห่างๆ จะดีกว่า
เลิกปรุงรสกับข้าวด้วย ซุปก้อน ผงชูรส เพราะมีเกลือไม่น้อยอีกเหมือนกัน
กะปิ เต้าหู้ยี้ ปลาร้า ไตปลา ไข่เค็ม ผักดอง ผลไม้ดอง แหนม ไส้กรอกอีสาน ยังพอกินได้ แต่ควรกินน้อยๆ และอย่ากินให้บ่อยนัก
ที่มาของข้อมูล http://www.vcharkarn.com/varticle/41429
ประโยชน์ของมิตามินต่าง ๆ
วิตามินเอ – สร้างโปรตีนในเด็ก, รักษาเยื่อบุผิว
วิตามินบี1 – ช่วยระบบเมทาบอลิซึม(กระบวนการเคมีต่างๆในร่างกาย)
วิตามินบี2 - ตัวร่วมในการสร้างพลังงาน
วิตามินบี5 – เป็นโคเอนไซม์, ตัวร่วมในการสร้างพลังงาน
วิตามินบี6 – ช่วยในการสร้างฮีม
วิตามินบี12 -ช่วยการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก
วิตามินซี – ช่วยให้ผนังเส้นเลือดยืดหยุ่น, สร้างเนื้อเยื่อต่างๆ, ช่วยดูดซึมเหล็ก
วิตามินดี – ช่วยรักษาระดับแคลเซียมและโพแทสเซียม, ดูดซึมแคลเซียม
วิตามินอี – สร้างพลังงาน, สลายไขมัน
วิตามินเค – ช่วยในระบบหายใจ, สร้างสารที่จำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด
กรดโฟลิก – ช่วยในการแบ่งเซลล์, สร้างเม็ดเลือดแดง
ไบโอทิน – สังเคราะห์กรดไขมันและ กรดอะมิโน
คาร์นิทีน – สลายกรดไขมัน
ข้อมูลจาก http://www.blog.bunterng.com/category
วิตามินบี1 – ช่วยระบบเมทาบอลิซึม(กระบวนการเคมีต่างๆในร่างกาย)
วิตามินบี2 - ตัวร่วมในการสร้างพลังงาน
วิตามินบี5 – เป็นโคเอนไซม์, ตัวร่วมในการสร้างพลังงาน
วิตามินบี6 – ช่วยในการสร้างฮีม
วิตามินบี12 -ช่วยการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก
วิตามินซี – ช่วยให้ผนังเส้นเลือดยืดหยุ่น, สร้างเนื้อเยื่อต่างๆ, ช่วยดูดซึมเหล็ก
วิตามินดี – ช่วยรักษาระดับแคลเซียมและโพแทสเซียม, ดูดซึมแคลเซียม
วิตามินอี – สร้างพลังงาน, สลายไขมัน
วิตามินเค – ช่วยในระบบหายใจ, สร้างสารที่จำเป็นต่อการแข็งตัวของเลือด
กรดโฟลิก – ช่วยในการแบ่งเซลล์, สร้างเม็ดเลือดแดง
ไบโอทิน – สังเคราะห์กรดไขมันและ กรดอะมิโน
คาร์นิทีน – สลายกรดไขมัน
ข้อมูลจาก http://www.blog.bunterng.com/category
ผักที่เรากินมาจากส่วนใหนของพืช
เกร็ดความรู้รอบตัววันละนิด....
รู้หรือไม่ ผักที่เรากินๆ กันอยู่ทุกๆวัน หรือบางคนแทบไม่กินเลย ไม่ได้มาจากใบ แต่มาจากส่วนต่างๆ เกือบทุกส่วนของพืช แล้วเพื่อนๆ แยกออกหรือไม่ว่า ส่วนไหนมาจากส่วนไหน วันนี้เราจะมาดูพืชยิดนิยมที่เรากินกัน และ มันมาจากส่วนใดของพืช จะได้เป็น เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ
ขิง, ข่า, ขมิ้น, มันฝรั่ง, เผือก, แห้ว มาจากลำต้น
กระชาย, มันแกว, แครอท, หัวไชเท้า, มันเทศ คือ ราก
ส่วนอีกอันที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นราก คือหอมหัวใหญ่ จริงๆมันคือ ใบต่างหาก
รู้หรือไม่ ผักที่เรากินๆ กันอยู่ทุกๆวัน หรือบางคนแทบไม่กินเลย ไม่ได้มาจากใบ แต่มาจากส่วนต่างๆ เกือบทุกส่วนของพืช แล้วเพื่อนๆ แยกออกหรือไม่ว่า ส่วนไหนมาจากส่วนไหน วันนี้เราจะมาดูพืชยิดนิยมที่เรากินกัน และ มันมาจากส่วนใดของพืช จะได้เป็น เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ
ขิง, ข่า, ขมิ้น, มันฝรั่ง, เผือก, แห้ว มาจากลำต้น
กระชาย, มันแกว, แครอท, หัวไชเท้า, มันเทศ คือ ราก
ส่วนอีกอันที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นราก คือหอมหัวใหญ่ จริงๆมันคือ ใบต่างหาก
ครูที่ดี
....คนใจแคบเท่านั้น..คิดว่าครูคือแม่พิมพ์..ครูคือผู้ให้คำตอบที่ศิษย์ต้องการ..ครูที่ดีชี้และช่วยให้ศิษย์รู้จักตัวของศิษย์..
ความรู้ทางวิชาการทั้งสิ้นนั้น..เป็นเพียงสื่อที่จะนำไปถึงเป้าหมายนี้เท่านั้น..เพื่อการพัฒนาชีวิตของศิษย์แล้ว
ครูไม่ควรข่มขู่และหลอกล่อ..เพื่อให้ศิษย์หวาดกลัวและลุ่มหลง..ตัวครูไม่ใช่ปูชนียบุคคล
ความเป็นปูชนียบุคคลของครู..เกิดอยู่ในการกระทำที่ชอบธรรมของครู..ใช่แต่ศิษย์เท่านั้นที่ต้องเคารพครู
ครูที่ดีก็ต้องเคารพศิษย์ด้วยจริงใจ...^_^
ความรู้ทางวิชาการทั้งสิ้นนั้น..เป็นเพียงสื่อที่จะนำไปถึงเป้าหมายนี้เท่านั้น..เพื่อการพัฒนาชีวิตของศิษย์แล้ว
ครูไม่ควรข่มขู่และหลอกล่อ..เพื่อให้ศิษย์หวาดกลัวและลุ่มหลง..ตัวครูไม่ใช่ปูชนียบุคคล
ความเป็นปูชนียบุคคลของครู..เกิดอยู่ในการกระทำที่ชอบธรรมของครู..ใช่แต่ศิษย์เท่านั้นที่ต้องเคารพครู
ครูที่ดีก็ต้องเคารพศิษย์ด้วยจริงใจ...^_^
วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553
เป้าหมายของชีวิต
โดยธรรมชาติแล้ว
ชีวิตย่อมมีเป้าหมายของชีวิตอยู่เอง
ครั้นเมื่อมนุษย์ช่างคิด ช่างฝัน
เขาจึงได้รังสรรค์เป้าหมายขึ้นใหม่
แล้วยอมเป็นทาสของเป้าหมายนั้นโดยดุษฏี
เป้าหมายของชีวิตที่มนุษย์คิดขึ้นนั้น
ไม่อาจนำมาซึ่งความเกษมสำราญที่แท้จริง
ทั้งยังอาจเป็นเหตุแห่งความทุกข์ยากไม่รู้จบสิ้น
เป้าหมายของการกระทำนั้นต้องมีอยู่
แต่ต้องไม่งมงายยึดมั่นเกินไป
เพราะความงมงายยึดมั่นเกินไป
ทำลายความสดชื่นมั่นคงในการดำเนินชีวิต
ดำรงจิตใจให้มั่นคง เริงรื่น ชื่นบาน
และเกษมสำราญกับการช่วยเหลือสรรพชีวิตเถิด
ชีวิตเฉพาะหน้าเช่นนั้น นั่นเอง
ที่ดำรงอยู่แล้วในเป้าหมายของชีวิตที่แท้
ชีวิตย่อมมีเป้าหมายของชีวิตอยู่เอง
ครั้นเมื่อมนุษย์ช่างคิด ช่างฝัน
เขาจึงได้รังสรรค์เป้าหมายขึ้นใหม่
แล้วยอมเป็นทาสของเป้าหมายนั้นโดยดุษฏี
เป้าหมายของชีวิตที่มนุษย์คิดขึ้นนั้น
ไม่อาจนำมาซึ่งความเกษมสำราญที่แท้จริง
ทั้งยังอาจเป็นเหตุแห่งความทุกข์ยากไม่รู้จบสิ้น
เป้าหมายของการกระทำนั้นต้องมีอยู่
แต่ต้องไม่งมงายยึดมั่นเกินไป
เพราะความงมงายยึดมั่นเกินไป
ทำลายความสดชื่นมั่นคงในการดำเนินชีวิต
ดำรงจิตใจให้มั่นคง เริงรื่น ชื่นบาน
และเกษมสำราญกับการช่วยเหลือสรรพชีวิตเถิด
ชีวิตเฉพาะหน้าเช่นนั้น นั่นเอง
ที่ดำรงอยู่แล้วในเป้าหมายของชีวิตที่แท้
...ความรัก.. ^_^
ความรักคือความพร้อมที่จะช่วยเหลือและรับผิดชอบ
ดังนั้นจึงเสียสละและกระทำได้บนความเบิกบานใจ
ความรักมีพฤติกรรมอันจำกัดรูปแบบมิได้
ดังนั้นจึงอยู่เหนือการอ้างอิง และวิจารณ์
ความรักไม่เรียกร้อง และไม่หวาดระแวง
ดังนั้นไม่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นล้วนมั่นใจในรักเสมอ
ความรักไม่อาจเสาะหา แต่ให้ได้ไม่รู้หมด
ดังนั้นยิ่งเสาะหายิ่งหาไกล ยิ่งให้ยิ่งมีมากขึ้น
ความรักทำลายความกลัว และความเศร้าหมอง
ดังนั้นจึงปลดเปลื้องพันธนาการแห่งความลุ่มหลง
ความรักเป็นสัมพันธภาพที่เหนือกว่าพันธะทั้งมวล
ดังนั้นความรักเท่านั้นที่จะสร้างสันติภาพขึ้นได้
ความรักหล่อเลี้ยง และเป็นพลังที่แท้จริงของชีวิต
ดังนั้นไร้รัก ชีวิตก็ย่อมจืดชืด และสิ้นคุณค่า
ดังนั้นจึงเสียสละและกระทำได้บนความเบิกบานใจ
ความรักมีพฤติกรรมอันจำกัดรูปแบบมิได้
ดังนั้นจึงอยู่เหนือการอ้างอิง และวิจารณ์
ความรักไม่เรียกร้อง และไม่หวาดระแวง
ดังนั้นไม่ว่าสิ่งใดเกิดขึ้นล้วนมั่นใจในรักเสมอ
ความรักไม่อาจเสาะหา แต่ให้ได้ไม่รู้หมด
ดังนั้นยิ่งเสาะหายิ่งหาไกล ยิ่งให้ยิ่งมีมากขึ้น
ความรักทำลายความกลัว และความเศร้าหมอง
ดังนั้นจึงปลดเปลื้องพันธนาการแห่งความลุ่มหลง
ความรักเป็นสัมพันธภาพที่เหนือกว่าพันธะทั้งมวล
ดังนั้นความรักเท่านั้นที่จะสร้างสันติภาพขึ้นได้
ความรักหล่อเลี้ยง และเป็นพลังที่แท้จริงของชีวิต
ดังนั้นไร้รัก ชีวิตก็ย่อมจืดชืด และสิ้นคุณค่า
คำทำนาย....
เมื่อยอมรับคำทำนายเคราะห์ร้าย
เคราะห์ร้ายก็พร้อมที่จะเกิดขึ้น
แต่เมื่อยอมรับคำทำนายโชคดี
โชคดีจะเกิดก็หาไม่ ถ้าไม่ได้กระทำดี
มีแต่ผู้อ่อนแอ และหวั่นไหวเท่านั้น
ที่จะแสวงหา และยอมเป็นทาสของคำทำนาย
คำทำนายและสาปแช่งย่อมมีฤทธิ์เมื่อเรารับเอา
การหยั่งรู้เรื่องในวันหน้า
จะเป็นประโยชน์อันใด
ในเมื่อปัจจุบันก็ยังไม่สงบสุข
การฝันใฝ่ถึงวันวานและวันพรุ่ง
ถ้าทำให้เสียปรกติสุขในปัจจุบันไป
ก็สมควรที่จะกำหนดจิตใจเสียใหม่
วันวานไม่อาจหวนมา แม้ว่าจะหวานชื่น
พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง แม้จะเป็นความตาย
คิดคำนึงนึกถึงไปจะทำอะไรได้
มีแต่เดี๋ยวนี้เท่านั้นที่เราสามารถกระทำ
เคราะห์ร้ายก็พร้อมที่จะเกิดขึ้น
แต่เมื่อยอมรับคำทำนายโชคดี
โชคดีจะเกิดก็หาไม่ ถ้าไม่ได้กระทำดี
มีแต่ผู้อ่อนแอ และหวั่นไหวเท่านั้น
ที่จะแสวงหา และยอมเป็นทาสของคำทำนาย
คำทำนายและสาปแช่งย่อมมีฤทธิ์เมื่อเรารับเอา
การหยั่งรู้เรื่องในวันหน้า
จะเป็นประโยชน์อันใด
ในเมื่อปัจจุบันก็ยังไม่สงบสุข
การฝันใฝ่ถึงวันวานและวันพรุ่ง
ถ้าทำให้เสียปรกติสุขในปัจจุบันไป
ก็สมควรที่จะกำหนดจิตใจเสียใหม่
วันวานไม่อาจหวนมา แม้ว่าจะหวานชื่น
พรุ่งนี้ยังมาไม่ถึง แม้จะเป็นความตาย
คิดคำนึงนึกถึงไปจะทำอะไรได้
มีแต่เดี๋ยวนี้เท่านั้นที่เราสามารถกระทำ
ความสำเร็จ...
แม้ว่าลาจะร้องเสียงจิ้งหรีดได้
มันก็เป็นความล้มเหลว มากกว่าความสำเร็จ
ทางแห่งความสำเร็จของชีวิต
ไม่อาจเลียนแบบกันได้
ผู้มีทัศนะคับแคบงมงายเท่านั้น
ที่จะเลียนแบบวิถีแห่งความสำเร็จของผู้อื่น
ความพยายามของตัวตน เพื่อตัวตน
ไม่อาจช่วยให้ชีวิตพบความสำเร็จที่แท้จริงได้
เพราะความพยายามเช่นนี้อยู่ที่ไหน
ความสำเร็จที่แท้จริงก็หาอยู่ด้วยไม่
จะมีก็แต่ความสำเร็จจอมปลอม
ที่กว่าจะได้มาก็ต้องทุกข์ทรมาน แสวงหา
การเข้าใจความจริงของชีวิตนั่นเอง
คือความสำเร็จของชีวิต
และการใช้ชีวิตเพื่อสรรพชีวิต
ก็คือหนทางของความสำเร็จ
มันก็เป็นความล้มเหลว มากกว่าความสำเร็จ
ทางแห่งความสำเร็จของชีวิต
ไม่อาจเลียนแบบกันได้
ผู้มีทัศนะคับแคบงมงายเท่านั้น
ที่จะเลียนแบบวิถีแห่งความสำเร็จของผู้อื่น
ความพยายามของตัวตน เพื่อตัวตน
ไม่อาจช่วยให้ชีวิตพบความสำเร็จที่แท้จริงได้
เพราะความพยายามเช่นนี้อยู่ที่ไหน
ความสำเร็จที่แท้จริงก็หาอยู่ด้วยไม่
จะมีก็แต่ความสำเร็จจอมปลอม
ที่กว่าจะได้มาก็ต้องทุกข์ทรมาน แสวงหา
การเข้าใจความจริงของชีวิตนั่นเอง
คือความสำเร็จของชีวิต
และการใช้ชีวิตเพื่อสรรพชีวิต
ก็คือหนทางของความสำเร็จ
คำสอนพ่อ
” . . . ความเข้มแข็งในจิตใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องฝึกฝนแต่เล็ก เพราะว่าต่อไปถ้ามีชีวิตที่ลำบาก ไปประสบอุปสรรคใด ๆ ถ้าไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความรู้ ไม่มีทางที่จะผ่านอุปสรรคนั้นได้ เพราะว่าถ้าไปเจออุปสรรคอะไร ก็ไม่มีอะไรที่จะมาช่วยเราได้ แต่ถ้ามีความรู้ มีอัธยาศัยที่ดี และมีความเข้มแข็งในกาย ในใจ ก็สามารถที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ นั้นได้ ความเข้มแข็งในใจนั้น หมายความว่า ไม่ท้อถอย และไม่เกิดอารมณ์มาทำให้โกรธ อารมณ์นั้นก็คือ ความโกรธ ความฉุนเฉียว ความน้อยใจ ทั้งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้คิดไม่ออก . . . ”
พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนราชวินิต
วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๑๘
พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนราชวินิต
วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๑๘
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)